Sunday, June 10, 2007

๑๖.จงฟังคนรอบข้างบ้าง


ฟังคำแนะนำของคนรอบข้างบ้างเถอะ...
แม้ว่าคุณจะเป็นคนเก่งแบบสุดๆ แต่จงรู้จักหยุดฟังคำแนะนำจากคนรอบข้างบ้าง
เป็นการให้เกียรติ และตระหนักถึงคุณค่าของเขาบ้าง
โดยเฉพาะคู่ชีวิตของคุณ...การฟังกันก็เป็นการให้เกียรติและรักษาความสัมพันธ์ได้นานขึ้น
คนเราไม่ได้เก่งไปทุกด้านหรอก จะมีก็แต่เข้าใจว่าตัวเองเก่งไปหมด
เมื่อเก่งไปหมดก็ไม่ฟังใคร
บางครั้งเราก็ไม่ได้ต้องการคนเก่งหรอก เราต้องการคนที่รู้จักฟังคนอื่นบ้างเท่านั้นเอง
เคยมีคนบอกว่า"คนที่พูดเก่งนั้น จริงๆต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุดพูดและฟังคนอื่น"
คุณจะเรียนรู้อะไรได้มากมายจากคนรอบข้าง ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร
คุณได้บทเรียนจากสิ่งรอบๆตัวคุณได้เสมอ
ขอให้คุณเริ่มจากหยุดฟังก่อนเท่านั้น

Wednesday, March 21, 2007

๑๕.เชื่อมั่นในตัวเอง



จงเชื่อมั่นในตัวเราเองก่อน
จงสร้างความเชื่อมั่นในตัวเราเอง...เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่
ถ้าปราศจากซึ่งความเชื่มั่นในตัวเอง ชีวิตของเราก็เดินต่อไปอย่างลังเลส่ายไปส่ายมา
ความเชื่อมั่นในตัวเองก็เปรียบกับการเคารพคุณค่าในตัวเราเอง
...เป็นการยอมรับในคุณค่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่
...ความเชื่อมั่นนั้นจะถูกทดสอบด้วยความลังเลสงสัยในตัวเราเองหรือในสิ่งที่เรากำลังทำ
...ความเชื่อมั่นในตัวเราจะถูกทดสอบจากความลังเลสงสัยของคนรอบข้าง
...ถ้าความเชื่อมั่นไม่ปักอย่างมั่นคง ย่อมถูกซัดสาดด้วยความลังเลสงสัย
ทางเดียวที่จะประคองความเชื่อมั่นได้คือ การหมั่นตอกย้ำตัวเองด้วยคำพูดด้วยความคิดที่เป็นบวก
จงพูดย้ำกับตัวเองทุกวันว่า คุณเป็นคนเก่ง คุณทำได้ สิ่งที่คุณกำลังทำเป็นไปได้
พลังแห่งการตอกย้ำ พลังแห่งความเชื่อมั่นจะผลักดันคุณไปถึงสิ่งที่คุณฝันไว้
.......คุณเป็นไปตามความเชื่อมั่นของคุณเอง......................



คนเรานั้นมักจะไม่เชื่อมั่นในความสามารถตัวเอง ด้วยการไปบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนาๆ เมื่อได้ตามที่ขอก็ยกความดีให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แม้บางทีความสำเร็จนั้นจะเกิดขึ้นตามแผนงานที่ตัวเราได้วางไว้แล้ว
แต่ก็อดจะบนบานเพื่อเติมกำลังใจให้เต็มร้อย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปัดเป่าความไม่มั่นใจออกไป จนลืมทบทวนดูเหตุแห่งความสำเร็จที่เกิดจากการกระทำของเรา
นี่ย่อมทำให้เราขาดความมั่นใจในตัวเอง ครั้งต่อๆไปเราก็ยกเอาความมั่นใจไปไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อผิดพลาดใหม่ก็ยกความผิดให้กับการบนบานที่ไม่ถูกขั้นตอน การบนบานที่ไม่ถูกรูปแบบ
..แต่ถ้าเราไม่ได้ตามที่ขอ เราก็ยังสบายใจที่จะโทษจะปัดความรับผิดชอบให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่ได้นั่งทบทวนข้อบกพร่องความผิดพลาดในเหตุการณ์ที่เกิด เพราะสุดท้ายเมื่อทบทวนอย่างเป็นธรรม เราก็จะพบว่าความผิดพลาดนั้นมีสาเหตุมาจากตัวเราด้วยส่วนหนึ่ง

คนเราบนบานเพื่อความสบายใจยามไม่สมหวัง และบนบานเพื่อความมั่นใจในยามที่ไม่มั่นใจ
แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์คือ เราจะขาดความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตัวเราและการกระทำของเรา

Saturday, January 20, 2007

๑๔.บอกคนอื่นว่าเขาสำคัญกับคุณอย่างไร


กล้าที่จะเอ่ยปากบอกความสำคัญของคนรอบข้าง...
การบอกความสำคัญของคนอื่นที่มีต่อคุณ
จะเพิ่มกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ดีขึ้น
ความสัมพันธ์ที่ดีย่อมนำความสุขมายังทั้งเราและเขา
จงบอกด้วยความจริงใจ...แสดงออกด้วยท่าทีที่จริงใจ
ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อมีคนมาบอกถึงความสำคัญของตัวเขาเอง
ก็ย่อมมีความสุขจากการที่มีคนเห็นคุณค่าของตัวเอง
หัวใจคงพองโตไปด้วยความยินดีไปทั้งวัน...
วันนี้คุณกล่าวชมเพื่อน...คนรอบข้างคุณบ้างหรือยัง???

Friday, January 12, 2007

๑๓.เปิดใจให้กว้าง



เปิดใจให้กว้างเพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลง
...ตอบรับด้วยความรู้สึกยินดี และพร้อมใจ
โลกใบนี้หมุนเดินหน้าไปทุกวินาที
มีสิ่งใหม่ๆมากมายให้เราเลือกได้เรียนรู้
การเปลี่ยนแปลงนั้นนำเราออกจากจุดที่เรายืนอยู่ไปยังจุดใหม่
ออกไปพบสิ่งใหม่ๆ อาจต้องเหนื่อยตอนออกเดิน
แต่เมื่อไปถึงจุดใหม่ คุณจะได้พบบางสิ่งที่รออยู่
ไม่ว่าทิวทัศน์ใหม่ เพื่อนใหม่ๆ......
มนุษย์เรามักเคยชินกับสิ่งเดิมๆ ด้วยกลไกการปรับตัวตามธรรมชาติ
อย่ารู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจกับการออกเดิน
จงตอบรับด้วยความพอใจและยินดี
ก้าวเดินออกไปด้วยควมรู้สึกเต็มเปี่ยมด้วยความหวัง
...และเก็บเกี่ยวความสุขในทุกย่างก้าว
คุณต้องเลือกที่จะต้องออกเดิน เพราะชีวิตหมายถึงการเคลื่อนไหว
ชีวิตที่หยุดเคลื่อนไหวก็ไร้ความหมาย
จงเคลื่อนไปตามจังหวะที่คุณรู้สึกเป็นสุขใจ

Thursday, January 11, 2007

๑๒.จงคาดหวังในสิ่งที่เป็นจริง


ตั้งเป้าหมายในสิ่งที่เอื้อมถึงและเป็นจริงได้
...เมื่อเราคาดหวังถึงสิ่งที่เป็นจริงได้
เราสามารถมีความสุขได้ด้วยการบรรลุถึงเป้าหมายนั้นๆ
...การตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับความเป็นจริงนั้น
ช่วยให้เราได้รับความพึงพอใจจากการบรรลุเป้าหมาย
...วันนี้คุณลองทบทวนเป้าหมายหรือความคาดหวังในชีวิต
ของคุณดูว่า คุณทำให้มันเป็นจริงได้หรือเปล่า??

Monday, January 08, 2007

๑๑.มิตรภาพสำคัญกว่าเงินทอง


ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสำคัญแก่เงินทองมากกว่ามิตรภาพ
เงินทองเมื่อหามาได้ก็ใช้ไปแล้วย่อมมีวันหมด
แต่มิตรภาพใช้มากเท่าไหร่ยิ่งเพิ่มพูนมากเท่านั้น
ชายคนหนึ่งเมื่อถึงคราวอับจนกลับเลือกเงินตราแล้ว
ทิ้งมิตรภาพทิ้งเพื่อนให้รับความลำบากเพียงอย่างเดียว
เมื่อถึงวันหนึ่งเขากลับมานั่งทุกข์ตรมใจกับสิ่งที่ได้ทำไป
ในวันนี้เมื่ออุปสรรคปัญหาได้ผ่านไป
เพื่อนที่เขาทิ้ง...กลับพลิกวิกฤตได้โอกาสทำเงินมามากมาย
...เขาไม่ได้เสียดายเงินทอง แต่เขารู้สึกผิดที่ทิ้งเพื่อนยามลำบาก
เงินทองที่เขาได้มานั้นก็ไม่ได้ช่วยลดทอนความรู้สึกผิดในใจ
ถ้าเขาย้อนเวลากลับไปได้ เขายอมแลกเงินที่ได้กับมิตรภาพที่ยั่งยืน
และยังผลิบานในใจ...คงไว้ซึ่งสิ่งดีงามสดสวยติดตัวเขาไปตลอด
..ในชีวิตจริงเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้
จงถนุถนอมมิตรภาพดุจดอกไม้ดอกงาม
ให้งอกงามในใจเราตลอดไป

Monday, October 23, 2006

๑๐.หลับให้เต็มอิ่ม


...นอนหลับให้สบายและเต็มอิ่ม
ก่อนจะหลับ ให้หลับตาเอนกายลงบนที่นอน
นึกให้ส่วนต่างๆนั้นผ่อนคลายลง ให้นึกถึงสิ่งที่เรารู้สึกสบาย
อาจจะเป็นท้องฟ้าสีฟ้าคราม น้ำทะเลสีครามที่มีคลื่นแผ่วๆ หรือลำธารที่น้ำไหลรินด้วยเสียงเบาๆ
นึกเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
อย่านึกสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะนอนไม่หลับ
...การนอนหลับที่สนิทและเต็มอิ่ม จะทำให้ร่างกายหลังตื่นนอน
สดชื่น สมองแจ่มใส เตรียมพร้อมที่จะทำงานในวันรุ่งขึ้น
อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มไปด้วยพลัง
...การนอนอย่างเต็มอิ่มนั้น ช่วยสร้างความสุขในชีวิตได้มากกว่าคนที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ หรือหลับไม่เต็มอิ่ม
...ก่อนนอนคืนนี้ คุณกำลังนึกถึงสิ่งใดก่อนหลับครับ???